
Analogue คอนโซลแบบ In-Line เต็มรูปแบบ พร้อมฟีเจอร์ที่มากมาย รองรับการ Recall ได้แบบทันทีในทุกๆ การประมวลผลหรือ Processing, Routing, Gain และ Pan ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า ActiveAnalogue™ ซึ่งสามารถสลับ Setup การ Mix หรือ Setup การ Record ได้อย่างทันทีภายในเวลาสั้น ๆ Oracle จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสตูดิโอได้อย่างมหาศาล พร้อมยังให้เสียง Analogue แท้ ๆ แบบที่ศิลปินและโปรดิวเซอร์ต้องการ
Oracle มีให้เลือกทั้งแบบ 24 หรือ 48 channels แบบ In-Line พร้อม Mic Preamp รุ่นใหม่อย่าง PureDrive ทั้งแบบ 24 หรือ 48 ตัว ทุกรุ่นมี: 4 Stereo Mixbus, 16 Track bus, 10 Aux bus (stereo/mono), 16 Stereo ‘Flex’ Groups, และ 5 x Stereo monitor output (มี bass management อีกด้วย)
ActiveAnalogue™ คือเทคโนโลยีใหม่จาก SSL ที่ผสมผสานระหว่างการประมวลผล Analogue กับ SSL Software ทำให้สามารถ Recall แบบ Digital ได้โดยไม่สูญเสียความเป็น Analogue ช่วยให้ได้เสียง Analogue แท้ ๆ พร้อมความยืดหยุ่นของระบบ Digital ปราศจากข้อจำกัดของระบบเดิม และไม่ขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
Solid State Logic Oracle 48-channel Analog Console
- คอนโซลขนาดใหญ่ รูปแบบ In-Line รองรับ Input ได้ถึง 112 Channel ในการ Mix
- 4x stereo mixbus, 16 track bus, 10 aux bus, 16 stereo ‘Flex’ group
-
วงจร Analogue แบบคลาสสิกของ SSL ควบคุมด้วย ActiveAnalogue™
-
Mic-pre รุ่นใหม่ PureDrive พร้อมการควบคุม ‘Drive Mode’
-
EQ 4 Band ของ SSL พร้อมเลือกคาแรคเตอร์แบบ E/G Series ได้
-
มาพร้อมกับ THE BUS+ และ Dynamic EQ
-
โครงสร้างที่ยืดหยุ่นสำหรับงาน tracking, overdub, mix
-
Small Fader และ Large Fader สามารถเลือก Assign EQ หรือ Insert point ได้
-
ระบบมอนิเตอร์ที่ยืดหยุ่น รองรับทั้งมิกซ์แบบ stereo และ immersive
-
หน้าจอแสดงผลแบบ VU หรือ plasma 'stlye' metering พร้อมกับจอแสดงผลรายละเอียดของ dynamics
-
ควบคุมผ่าน DAW ได้ด้วย SSL 360
-
มี ระบบ SSL dynamic automation
-
แอป O-Control: สำหรับการเตรียมเซสชันล่วงหน้าและตั้งค่าคอนโซล
-
แร็ค 13U จำนวน 2 ชุด หัวใจหลักในการทำงานบนวงจร Analogue ของ Oracle
เทคโนโลยี Harmonic Drive ของ Mic preamp PureDrive รุ่นล่าสุด สามารถควบคุม ปรับแต่ง harmonic saturation แบบต่าง ๆ ได้ ทำให้ Oracle มีเสียงแบบ ‘SuperAnalogue™’ ที่แม่นยำ มีเอกลักษณ์ และสามารถสร้างโทนเสียงได้หลากหลาย ทั้งยังคงมี DNA ของ SSL Console รุ่นคลาสสิกอย่าง E, G, และ J/K Series อีกด้วย
Channel Strip แบบ ‘Future Analogue’ ของ Oracle ยังคงเอกลักษณ์ที่หลายคนชื่นชอบจากคอนโซล SSL คลาสสิกเอาไว้ พร้อมกับผสานวงจรอนาล็อกรุ่นใหม่ล่าสุดของ SSL เข้าไปด้วย โดยยังคงตอบโจทย์การใช้งานในยุคใหม่ที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น ในแต่ละ Channel Strip เป็นแบบ Stereo/Dual Mono โดยมี Line Input ที่สอง แยกมาในแต่ละแชนแนล โครงสร้างเป็นแบบ In-line Channel Strip โดยมีสัญญาณแยกเป็น Record Path และ Monitor Path ควบคุม Input Gain และ Output Level ได้อย่างอิสระ และมีความยืดหยุ่นสูงในการจัดการ Routing ของการ Processing อีกด้วย
โดยในแต่ละแชนแนลจะมาพร้อมกับ input gain, filter, aux sends, parametric EQ จำนวน 4 แบนด์, Morised Fader คุณภาพสูง ขนาด 100 มม. โดยเฟดเดอร์สามารถสลับใช้งานได้ทั้งใน Small หรือ Large Fader Path, Channel Screen ความละเอียดสูง สามารถแสดงระดับสัญญาณ, การ Pan และชื่อแทร็กแบบเต็ม
ด้านบนสุดของ Channel Strip คือ ไมค์ปรีแอมป์รุ่นใหม่ PureDrive Mic Pre พร้อมปุ่ม Drive Control โดยให้ Gain สูงสุดถึง 75 dB และสามารถให้โทนเสียงที่หลากหลาย
หัวใจของ Channel Strip คือ EQ รุ่น “242 Black Knob” แบบ E Series ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มืออาชีพเลือกใช้มาอย่างยาวนาน โดย EQ แบบ 4 แบนด์นี้สามารถสลับโหมดเสียงได้ระหว่าง E Series (เสียงคมชัด) และ G Series (เสียงนุ่มนวล), มี High Pass Filter เฉพาะ, สามารถเลือกใช้ Shelf หรือ Bell ได้ในความถี่สูงและต่ำ, Mid Frequency เป็นแบบ Parametric ปรับได้เต็มรูปแบบ และสามารถโยก EQ ไปใช้งานใน Small หรือ Large Fader Path ได้ โดยฟังก์ชันการประมวลผลทั้งหมดของแชนแนลสามารถ ลิงก์คู่แชนแนล (Odd/Even) ได้ เพื่อควบคุมสัญญาณสเตอริโอได้จากชุดคอนโทรลเดียว โดยทุก Fader Path จะมี Insert Point ที่สามารถสลับและเลื่อนตำแหน่งได้อย่างอิสระ และ Direct Output แยกเฉพาะ สำหรับส่งออกเป็น stem หรือ track ไปยัง DAW โดยตรง
นอกจากการระบุชัดเจนบนคอนโซลแล้ว
เมื่อเปิด Channel Detail View หน้าจอมิเตอร์ที่เกี่ยวข้องจะแสดงพารามิเตอร์และการจัดเส้นทาง (Routing) ทั้งแชนแนล รวมถึงทั้ง Small และ Large Fader Path และการควบคุมใน Detail View สามารถใช้งานร่วมกับ Navigator Control ของแต่ละ Bay เพื่อให้สามารถ เลื่อนดูและควบคุมทุกพารามิเตอร์ สวิตช์ฟังก์ชัน และการ Routing ได้อย่างครบถ้วน
ระบบ Bus ของ Oracle ถูกออกแบบมาให้มีความ ยืดหยุ่นสูงเป็นพิเศษ โดยในคอนโซลหนึ่งตัวสามารถมี Mix Bus ได้รวมทั้งหมดถึง 34 เส้น ซึ่งแชนแนลใด ๆ ก็สามารถส่งสัญญาณไปยัง Bus เหล่านี้ได้ โดย Bus ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 16 Track Busses, 10 Aux Busses และ 4 Stereo Mix Busses (Main A, B, C, D) โดยเฉพาะ 10 Aux Busses สามารถตั้งค่าให้เป็น Mono Busses แยกอิสระ หรือ จับคู่เป็น Stereo Aux Busses ได้ถึง 5 ชุด โดยฟังก์ชันนี้เหมาะสำหรับการใช้ Foldback sub-mix, ส่ง Stem แบบ mono และ stereo หรือใช้เป็น Effects Send ต่างๆ โดยแต่ละ Channel Path สามารถเลือกส่งสัญญาณที่ยืดหยุ่นได้ทั้งแบบแยกไปยัง Bus ใด Bus หนึ่งโดยตรง หรือส่งไปยังหลาย Bus พร้อมกันก็ได้ ทำให้สามารถสร้าง Stem Mixes สำหรับการส่งออกแยกหรือ Parallel Mixes สำหรับการประมวลผลแยกอิสระก่อนที่จะรวมกันสุดท้ายที่ Main A Bus
ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนี้ Oracle ช่วยให้คุณจัดการการมิกซ์ได้อย่างอิสระและยืดหยุ่นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นงาน track-based, stem-based หรือ full mixdown ก็สามารถสร้างเส้นทางสัญญาณได้ตาม workflow ที่คุณต้องการอย่างแท้จริง
ศูนย์ควบคุมหลักของ Oracle – ศูนย์กลางของระบบมิกซ์
Centre Section ของ Oracle ทำหน้าที่เสมือน ศูนย์บัญชาการ (Mission Control) ที่มอบการควบคุมแบบสัมผัสจริงและการแสดงผลภาพที่ชัดเจนของฟังก์ชันสำคัญทั้งหมดในคอนโซลอย่างเช่น Main Mix Busses, Track Busses, Aux Busses, รวมถึงระบบ Foldback โดยควบคุมผ่านจอแสดงผลความละเอียดสูงและ Encoders แบบหมุน
ไม่ใช่แค่แชนแนลเท่านั้นที่มี Detail View – ส่วน Centre Section เองก็มี Detail Views เฉพาะของตัวเอง ซึ่งจะแสดงรายละเอียดของการประมวลผลภายใน Centre Section ได้อย่างครบถ้วน
เมื่อเรียกใช้งาน Centre Section Detail View หน้าจอจะแสดงคอนโทรลสำหรับ การประมวลผลระดับกลาง ของคอนโซลและในขณะเดียวกัน Main Metering จะถูก “หดขนาด” (Shrink) ลงชั่วคราว
เพื่อให้ยังสามารถ ตรวจสอบสัญญาณเอาต์พุตของคอนโซลได้ต่อเนื่องโดย Detail Views สำหรับ Centre Section จะเปิดเผยฟีเจอร์ระดับลึก เช่น การควบคุมการประมวลผลสัญญาณกลาง, Routing ของสัญญาณทุกเส้นและการปรับแต่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Mix, Foldback และ Monitoring
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพของ Centre Section ที่ไม่ได้เป็นแค่ตัวควบคุมพื้นฐาน แต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมทุกแง่มุมของการมิกซ์ได้จากจุดเดียว
THE BUS+ คือคอมเพรสเซอร์สเตอริโอที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “โมเดิร์นคลาสสิก”
พัฒนาต่อจาก G Series Bus Compressor ที่หลายคนเรียกว่า “กาวสำหรับการเชื่อมมิกซ์” เพราะช่วยให้เสียงรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างกลมกลืน พร้อมพลังและความกระชับTHE BUS+ ที่อยู่ใน Oracle มาพร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น โหมดการทำงาน 4 แบบ, LOW THD Mode – ควบคุมความเพี้ยนให้ต่ำ, Feed-Back Mode – สไตล์การคอมเพรสแบบวินเทจ, ‘4K’ Saturation Mode – จำลองการอิ่มตัวของวงจรแบบคอนโซล SSL 4000
พร้อมด้วยตัวประมวลผลอื่น ๆ ที่รวมอยู่ด้วย เช่น Dynamic EQ, Transient Expanderและเครื่องมืออื่น ๆ ที่ออกแบบมาสำหรับงานมิกซ์ระดับเซียน
สิ่งที่ทำให้ THE BUS+ ใน Oracle แตกต่างคือสามารถเรียกคืนค่าทั้งหมดได้ทันที (Instant Recall)
ด้วยเทคโนโลยี ActiveAnalogue™ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ SSLหมายความว่าคุณจะได้ พลังเสียงแบบอนาล็อกเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องแลกมากับปัญหาเดิม ๆ อย่าง เช่น จดค่าด้วยกระดาษ, ปรับปุ่มทุกครั้งที่สลับ Session หรือสูญเสียความต่อเนื่องในการทำงาน
THE BUS+ ใน Oracle ไม่ใช่แค่คอมเพรสเซอร์ — แต่มันคือ ชุดเครื่องมือควบคุมไดนามิกและโทนเสียงที่หลากหลาย, ทั้งหมดถูกฝังอยู่ในคอนโซลและพร้อมใช้งานทันที ทั้งในการ Tracking, Overdub หรือ Final Mix
ระบบมอนิเตอร์และโฟลด์แบ็คที่ครอบคลุมทุกการทำงานในสตูดิโอ
ระบบมอนิเตอร์ของ Oracle สานต่อความสามารถจากคอนโซล SSL รุ่นก่อนหน้า โดยรองรับทั้ง Main Monitor และ Alternate Stereo Monitor อีก 4 ชุด (รวมเป็น 5 output ทั้งหมด)
โดย Alt Monitor ชุดที่ 4 สามารถตั้งค่าเป็น Subwoofer หรือ LFE Output ได้ พร้อมฟังก์ชัน Bass Managementรองรับระบบ Immersive Monitoring
Oracle ยังสามารถควบคุม Immersive Audio Processor ภายนอก เช่น Dolby Atmos Renderer ได้โดยตรง
ในโหมดนี้ และระบบมอนิเตอร์สเตอริโอของคอนโซลจะถูก Mute อัตโนมัติแล้วเปลี่ยนเป็นส่งคำสั่งควบคุมให้กับ Renderer ที่เชื่อมต่อแทน
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบ Hybrid Immersive Production ในสตูดิโอสมัยใหม่นอกจากนั้น Oracle มาพร้อมระบบ Foldback และการเชื่อมต่อภายนอกแบบครบครัน เช่น Foldback อิสระ 3 ชุด, Headphone Output บนผิวคอนโซล สำหรับเชื่อมต่อหูฟังโดยตรง และ Stereo External Inputs จำนวน 4 ชุด สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก เช่น เครื่องเล่นเพลง, ซินธิไซเซอร์หรือแม้แต่ Bluetooth Receiver (ผ่านการเชื่อมต่อ Stereo Input พิเศษบนคอนโซล)ทั้งหมดนี้ทำให้ Oracle มีระบบ Monitoring และ Foldback ที่ไม่เพียงแต่ยืดหยุ่นสูง แต่ยังพร้อมใช้งานใน ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น Stereo, Surround หรือ Immersive Workflow
Oracle มาพร้อมกับ Stereo Group Input จำนวน 8 ชุด ซึ่งควบคุมได้ผ่านเฟดเดอร์โดยตรง (Fader-Controlled)
ความพิเศษคือ Group Inputs เหล่านี้สามารถรับสัญญาณจาก 16 Track Busses ได้โดยการจับคู่แบบสเตอริโอ (เช่น Track 1+2 → Group 1)โดยฟีเจอร์เด่นของแต่ละ Group Input จะมี Image Control – ควบคุมความกว้างของภาพสเตอริโอม Switched Insert – ใช้งาน Insert แบบสั่งเปิด/ปิดได้, Routing ยืดหยุ่น – สามารถส่งสัญญาณต่อไปยัง Track Busses, Aux Busses และ Mix Busses (Main A-D) นอกจากนั้นยังมี Direct Output เฉพาะ สำหรับการส่งออกไปยัง DAW หรือการบันทึก
Oracle ยังสามารถกำหนด Path-Level Control (เช่น ระดับเสียงรวมของหลายกลุ่ม) ไปยัง VCA Fader ได้สูงสุด 24 ชุด ช่วยให้คุณควบคุมระดับของหลาย Group หรือ Track พร้อมกันจากบริเวณ Centre Section ได้อย่างสะดวกและแม่นยำ
Oracle รองรับการใช้งานแบบ Mid/Side ก่อน Insert ทำให้คุณสามารถประมวลผล เฉพาะ Mid หรือ Side ได้แบบแยกอิสระและมีวงจรถอดรหัส MS Decode Circuit อยู่ หลัง Insert Return เพื่อแปลงกลับมาเป็นสเตอริโออีกครั้ง
ระบบมิเตอร์แบบคลาสสิกและสมัยใหม่ – เข้าใจสัญญาณในพริบตา
Oracle ให้คุณเลือกใช้ ระบบการแสดงผลระดับสัญญาณ (Metering) ได้ทั้งแบบ Classic VU Meter หรือ Plasma Style Meter (สไตล์กราฟิกความเร็วสูง)
โดยทั้งสองแบบได้รับแรงบันดาลใจจากมิเตอร์ของคอนโซล SSL รุ่น 4000 Series อันเป็นตำนานและมิเตอร์ความละเอียดสูงที่ติดตั้งเหนือแต่ละ Bay จะแสดงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ เช่น Routing และสถานะของ Processor (EQ, Insert, Filter), การจัดเส้นทางสัญญาณไปยัง Small หรือ Large Fader, ระดับสัญญาณ (Level Metering) ของทั้ง Fader Paths, Bus Routing ที่ใช้งานในแต่ละแชนแนล, Track Name แบบเต็มชื่อ (Full Track Name)ไม่ว่าจะเป็นงาน Tracking, Mixing, หรือ Stem Management
มิเตอร์ของ Oracle ช่วยให้คุณ เข้าใจเส้นทางและพฤติกรรมของสัญญาณเสียงได้ทันที โดยไม่ต้องสลับหน้าจอหรือเดาเส้นทางใด ๆOracle มาพร้อมกับจำนวน Track Bus และ Aux Bus ที่มาก และมีฟีเจอร์ความยืดหยุ่นที่ไม่เหมือนใคร โดย Aux Bus ทั้ง 10 สามารถตั้งค่าได้แบบแยกอิสระว่าจะให้เป็นโมโนหรือสเตอริโอ ส่วน Track Bus ทั้ง 16 ของ Oracle สามารถรับสัญญาณทางแชนแนลทั้งจาก Large Fader และ Small Fader ได้ การกำหนดเส้นทางสัญญาณนี้สามารถเป็นแบบโมโน หรือจะให้ตามการแพนของแชนแนลไปยังมิกซ์บัส โดยใช้ Track Bus ที่เป็นเลขคี่/เลขคู่ เพื่อสร้างซับมิกซ์แบบสเตอริโอก็ได้เช่นกัน
สำหรับการมิกซ์ที่ Oracle รองรับการมิกซ์ได้หลากหลาย Source ทั้งจากเฟดเดอร์ Record และ Monitor, Insert และ Direct Output รวมถึงซับมิกซ์และสเตมมิกซ์หลายชุดจาก Main Bus ทั้ง 4 ชุด, Aux Bus 10 ชุด และ Track Bus 16 ชุด พร้อม Rack สำหรับ Processor 24 Channel
Oracle สามารถมิกซ์ได้สูงสุดถึง 48 เส้นทาง โดยมีซับมิกซ์สเตอริโอ 16 ชุด และ Main Stereo Bus ที่ควบคุมได้ผ่านเฟดเดอร์ทั้งหมด และยังสามารถเพิ่ม Rack In-Line อีก 24 Channel เพื่อเพิ่มจำนวน Processor ของแชนแนลได้สูงสุดถึง 96 เส้นทาง
ตั้งแต่ยุคซีรีส์ AWS เป็นต้นมา SSL ได้ผสานการควบคุม DAW เข้ากับคอนโซลอย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้ Sound Engineer สามารถสลับจากการทำงานแบบ Analogue ไปสู่แบบ Hybrid ไปจนถึงแบบ in-the-box บนคอนโซลได้ทันที
Oracle สามารถสลับการควบคุมระหว่าง Processor แบบอนาล็อกและ DAW ได้ผ่านปุ่ม FOCUS และสามารถเลือกควบคุมแยกเป็นแต่ละเบย์ได้ ทำให้สามารถผสมผสานการควบคุมอนาล็อกและ DAW อยู่ในคอนโซลเดียวกันได้อย่างยืดหยุ่น
Oracle ถูกออกแบบมาให้สามารถควบคุมระบบมอนิเตอร์ immersive จาก Third Party เช่น Dolby Atmos Renderer โดยในทางปฏิบัติ เมื่อสลับเข้าสู่โหมดนี้ คอนโซลจะปิดการมอนิเตอร์แบบสเตอริโออนาล็อกของตัวเอง และส่งคำสั่งควบคุมจาก Control Surface ไปยังระบบ immersive renderer ที่กำหนดไว้แทน
เป็นเครื่องมือควบคุม การตั้งค่า และจัดการเซสชัน สำหรับ Oracle ที่ทำงานได้ทั้งบน Windows และ macOS โดยแอปสามารถทำงานแบบแยกเดี่ยว (off-line) เพื่อใช้สร้าง แก้ไข หรืออัปเดตข้อมูลโปรเจกต์ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับคอนโซล หรือจะทำงานร่วมกับคอนโซลแบบเรียลไทม์ก็ได้ เพื่อช่วยในการตั้งค่าและจัดการเซสชัน เช่น การบันทึกและโหลด preset, snapshot และ project ต่างๆ
- O-Setup: จัดการการตั้งค่าของคอนโซล
- O-Session: จัดการการบันทึก/โหลดโปรเจกต์, preset, snapshot รวมถึงการควบคุมและดูสถานะของส่วนประมวลผลต่างๆ บนคอนโซล
- O-View: แสดงภาพรวมของคอนโซลทั้งหมด
หนึ่งในผลลัพธ์จากเทคโนโลยี ActiveAnalogue™ คือความสามารถของ Oracle ในการสร้าง “Templates” ที่สามารถเรียกคืนค่าการตั้งค่าและการกำหนดเส้นทาง routing ทั้งหมดบนคอนโซลได้ โดยแต่ละคนต่างมี Workflow ที่ต่างกัน Oracle จึงออกแบบ Templates เหล่านี้ไว้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับงานที่หลากหลาย เมื่อผสานกับแอป O-Control ทำให้การ Setup คอนโซลรวดเร็วช่วยให้สามารถเริ่มบันทึกเสียงหรือมิกซ์ได้เร็วกว่าที่เคย
ระบบ Oracle โดยทั่วไปจะประกอบด้วยแร็ก 2 ชุด แร็กเหล่านี้สามารถติดตั้งแยกจากตัวคอนโซลได้ ไม่ว่าจะติดตั้งที่พื้น หรือในตู้แร็กก็ได้ อาจวางไว้ในห้องควบคุม (control room) หรือแยกไปไว้ในห้องเครื่อง (machine room) ก็ได้ แร็กชุดหนึ่งใช้สำหรับการ Process ของส่วน centre และอีกชุดใช้สำหรับแชนแนล โดยระบบหนึ่งชุดอาจมีแร็กของแชนแนลหนึ่งหรือสองชุด ขึ้นอยู่กับสเปคของระบบ ทำให้ระบบโดยรวมอาจประกอบด้วยแร็ก 2 หรือ 3 ชุด (Centre + Channel Rack 1 หรือ 2)
แร็กทั้งหมดมีระบบระบายความร้อนแบบแอคทีฟ แต่ได้รับการออกแบบให้มีระดับเสียงรบกวน (acoustic noise floor) ต่ำกว่าเกณฑ์ NR25 ซึ่งเงียบเพียงพอสำหรับการใช้งานในห้องสตูดิโอเสียงระดับมืออาชีพ